วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2550

Yes / No Question

เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า เมื่อวันพฤหัสได้ไป Present งานวิชา Com Design ให้อาจารย์ติ๊ก และ อาจารย์มะลิฟัง
ยอมรับตัวเองเลยว่าเรานั้นเป็นคนที่เวลาทำงานนั้นมักจะมัวแต่ไปจมปลักกับบางสิ่งบางอย่างที่เราเชื่อมั่นว่าถูกต้องแน่แท้แล้วโดยไม่ได้ถอยออกมาดูว่ามีอย่างอื่นที่น่าสนใจกว่าอีกนะ!
แล้วครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้ง โดยที่เรามัวแต่คิดว่าจะทำ MV เป็น Motion โอ๊ย!! ต้องทำแน่ๆแล้ว ถึงขนาดลงทุนไปซื้อหนังสือคู่มือโปรแกรมAfter Effect มา และไหนจะยังซื้อโปรแกรมตัดต่อเพลงอีก
แต่เมื่ออาจารย์ Comment มาก็ถึงได้ค่อยมามองตัวเองว่า เฮ้ย ยังมีอย่างอื่นที่น่าสนใจกว่าจริงๆด้วย มัวแต่ไปตีกรอบตัวเองอยู่ได้
กลายเป็นว่าไอ้การ Fusion โดยหยิบยกหัวข้อของคนในห้องมา Fusion กันที่ตอนแรกนั้นตั้งใจจะให้เป็นเพียงแค่ Element ใน MV ของเรานั้น น่าเล่นมากกว่าตัว MV ซะอีก

ก็เลยลองนั่งจับคู่คร่าวๆว่าของใครควรจะคู่กับของใครบ้าง (อาจจะมีผิดพลาดบ้างก็ขออภัยและจะเป็นการขอบคุณอย่างสูงถ้าจะมีใครมา Comment หัวข้อให้ถูกด้วย)
ดังนี้
Personal Identity (Nut) + ล้อเลียนนักการเมือง (บิว) + ความทรงจำ (พี่แชมป์)
การซ้ำ (มิน/ฮอลล์) + จังหวะมอส (พี่กู้)
เรขาคณิต (เนต/โม่) + Fibonacci (ดิส)
การแยกชิ้นส่วนแล้วนำมาประกอบใหม่ (ดีโก้) + Photo Montage แบบ David Hockney (พี่หมู)
Function ที่เปลี่ยนแปลงของวัตถุ (โอ) + การเปลี่ยนรูปทรงแต่คงคุณสมบัติ (พุฒ)

ก็ลองจับคู่ได้คร่าวๆดูแล้วก็น่าสนใจดีนะใครมีความคิดเห็นอะไรก็เพิ่มเดิมได้นะขอรับ

ปล. ค่อนข้างจะติดใจกับคำพูดของอาจารย์ติ๊กตอน Present เสร็จมาก ( ขอท้าวความก่อนว่าตอนแรกเพลงที่จะทำ MV เป็นของวง Yes )
อาจารย์บอกว่า ลองดูดีๆบางทีเพลงของวง Yes อาจจะไม่ได้เป็นเพลงที่ใช่ สำหรับงานนี้ก็ได้
คาดว่าน่าจะมีนัยยะซ่อนเร้นอะไรอยู่ในประโยคนี้ (หรือเราคิดไปเองหว่า?)

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2550

ปริศนา You've Got mail

วันนี้ได้มีโอกาสดูหนังเรื่อง You've Got mail เป็นรอบที่ 10 แล้วเห็นจะได้

โดยส่วนตัวแล้วชอบ Meg Ryan กับ Tom Hanks มาตั้งแต่เรื่อง Sleepless In Seattle แล้ว พอได้ดูเรื่องนี้จึงเหมือนได้ดูSleeplessภาค2

เป็นหนังรักที่ไม่ได้มีฉากรักหวานซึ้ง มีก็แต่บทสนทนา แต่อาจจะเพราะด้วยบรรยากาศของหนังด้วยมั้ง จึงทำให้ดูกี่ทีก็ช่างโรแมนติกเสียนี่กะไร

ยิ่งในฉากจบตอนที่นางเอกรู้ว่าพระเอกเป็นใครแล้วมีเพลง Somewhere Over The Rainbow ขึ้นมา ฟังแล้วขนลุก

จำได้ว่าเคยฟังเพลงนี้ในเวอร์ชั่นของ Eric Clapton แล้วคุ้นๆว่าเคยได้ยินที่ไหน

ที่แท้ก็จากเรื่องนี้เอง
เป็นปริศนาอีกอย่างของตัวเองที่ได้รับคำตอบวันนี้

วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2550

ไม่ได้อัพบล็อกนาน วันนี้ก็เลยอัพซักหน่อย เรื่องของเรื่องก็คือได้อ่านหนังสือสารคดีเรื่องดาวินชีแล้วชอบมาก ก็เลยหาข้อมูลเพิ่มในเนต

หยิบมาให้ชมนิดหน่อยพอหอมปากหอมคอ


ภาพ เดอะวิทรูเวียสแมน ถูกวาดขึ้นเมื่อประมาณช่วงปี ค.ศ 1490 เป็นผลงานชิ้นเอกของศิลปิน ลีโอนาโดดาวินชี่ และได้รับการยกย่องว่าเป็นภาพร่างที่ถูกต้องตามหลักสรีระศาสตร์มากที่สุด นอกจากนี้ในผลงานจริง จะเห็นว่าด้านบน และล่างของภาพมนุษย์ในวงกลม และสี่เหลี่ยมยังเต็มไปด้วยตัวอักษรหลายบรรทัดซึ่ง ลีโอนาโดบันทึกไว้ด้วยตัวอักษรแบบกลับด้าน ถอดความได้ว่า “ภาพนี้วากขึ้นเพื่อเป็นการศึกษาสรีระของร่างกายมนุษย์เพชาย ตามที่ถูกบรรทึกไว้โดยวิทรูเวียส์ นักปราชญ์ชาวโรมันในยุคก่อนคริสตกาล) ว่ากันว่าลีโอนาโด ต้องการสะท้อนถึงการผสมผสานกันระหว่างมนุษย์ กับธรรมชาติ ต้องการสื่อว่า การทำงานของร่างกายมนุษย์นั้นสอดคล้องกับการเคลื่อนที่ของระบบจักรวาล รูปเหลี่ยมและกลายเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของยุคปัจจุบัน สี่เหลี่ยมเป็นสัญลักษณ์ของวัตถุ วงกลมคือสิ่งมีชีวิต และจิตวิญญาณ เมื่อรวมกันจึงกลายเป็นการดำรงอยู่ของมนุษย์ในปัจจุบันนั่นเอง สัญลักษณ์นี้จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้กันอย่างแะร่หลายในปัจจุบัน เพื่อแสดงถึงความเป็นสังคมมนุษย์สาเหตุที่ท่านภัณฑรักษ์ โซนิแยร์ เลือกทิ้งปริศานาการตาย เป็นภาพนี้ เพื่อให้แลงดอน ได้ไขปริศนาไปยังผลงานต่างๆของลีโอนาโดดาวินชี่ ต่อไปนั่นเอง

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2550

Fusion

หลังจากที่ได้วิเคราะห์และคุยใน Class แล้วก็ได้ข้อสรุปที่คำว่า Fusion ที่เหลือก็คือการต่อยอดคำให้ได้มากที่สุด

รู้สึกว่าการที่เราคิดอยู่คนเดียวนั้น จริงอยู่ว่าสามารถคิดได้เรื่อยๆ แต่ความคิดที่ได้ก็มีเพียงมิติเดียว

เมื่อวันศุกร์จึงได้ร่วมถกกับพี่แชมป์ และ เนต บอกได้คำเดียวว่ามันส์หยด อีกทั้ยยังได้พี่ ท่านอ้น ผู้มีความรู้อย่างยิ่งมาร่วมด้วย

จากความคิดมิติเดียว เมื่อได้คุยสนทนากันจึงทำให้ มีมิติเพิ่มขึ้นเป็น 2มิติ 3มิติ และ 4มิติ ตามลำดับ

จึงได้ผลสรุปว่า

Fusion คือการรวมตัวกันของ 2 สิ่งขึ้นไปโดยที่ 2 สิ่งนั้น
-ต้องมีสิ่งที่เหมือนกัน ( สิ่งนี้คือตัวเชื่อมให้การ Fusion นั้น สมบูรณ์)
-ต้องมีสิ่งที่ต่างกัน

เช่น
ม้า + ลา = ล่อ
สปาเกตตี้ + ปลาเค็ม = สปาเกตตี้ปลาเค็ม
เป็นต้น

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

พูดคุยอย่างสนุกสนาน

เมื่อวันศุกร์ได้นั่งคุยกับพี่แชมป์ (อีกแล้ว)
และก็ได้วิเคราะห์กันถึงเรื่องราวต่างๆของ Pentagram หลังจากไป Concentrate กับ PushPin กันหลายสัปดาห์

ก็สามารถวิเคราะห์กันอย่างสนุกและคิดว่าน่าจะหาประเด็นที่น่าสนใจกันได้
แต่ติดตรงปัญหาเล็กๆที่เชื่อมโยงกับ Post Modern

วันเสาร์จึงนัดกับคุณณัฐ (สับสนนิดหน่อย)
โดยคุณณัฐนัดแนะว่าเจอกัน9โมง

เวลาผ่านไป

9โมง
.......
10โมง
.........
10โมงครึ่ง
...........

จน11โมงไอ้คุณณัฐถึงมา

หลังจากนั้นก็เริ่มใส่กันอย่างไม่ยั้ง (พูดคุยกันนะ) ไม่ให้ได้หายใจหายคอ
ก็หาข้อสรุปที่ตรงกันได้หลายอย่าง
เช่น Pentagram นั้นคาบเกี่ยวระหว่างยุค Modern กับ Post Modern

ส่วนหัวข้อที่น่าสนใจก็ List ไว้หลายๆหัวข้อ
อาจจะดีบ้าง ไม่ดีบ้าง
เดี๋ยววันอังคารก็คงได้รู้แล้วล่ะ

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

Editorial

เป็นงานวิชา Editorial ที่ชอบมาก

ดูกี่ทีก็ขำ

เชิญชม

หายไปนาน

ไม่ได้มาอัพบล็อกนานมากเลย
อาจเพราะช่วงนี้ยุ่งๆอยู่

แถมพอมีเวลา จะอัพก็อัพไม่ได้อีก

เอาเป็นว่า

เมื่อวันจันทร์ได้มีโอกาสไปหา Mr. Harvey กับ คุณณัฐ
ได้ Speak English กันอย่างสนุกสนาน รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง

อ้อลืมบอกไป พอดีพวกเราได้ไปออกแบบ Graphic ขวด แชมพู ให้กับบริษัท Mr. Harvey

ต่อๆๆ

ก็ยอมรับว่าความอดทนในการฟังภาษาอังกฤษของผมนั้น มีขีดจำกัด
โดยเฉพาะการฟังสำเนียงของ Mr. Harvey นั้นต้องใช้สมาธิเป็นอย่างมาก
ทั้งเสียงที่เบา เสียงในลำคอ อีกทั้งมุขฝืดๆอีก
ยิ่งหลังจากผ่านไป 1 ชั่วโมง แล้วสิ่งที่ทำได้ก็คือ พยักหน้าแล้วพูดว่า อืมมมม
ซึ่งไอ้คุณ ณัฐก็คงทำเช่นกัน

แต่ก็ถือได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีเหมือนกัน

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

Google

วันนี้ได้ Search ใน Google เรื่อง Pentagram และ Push-Pin Studio
รู้สึกตกใจอย่างมาก!
เวปแรกที่เจอ
Blog ของเรานี่!

โอ้วววววววววว

มีความรู้สึก 2 อย่างในเวลาเดียวกัน
1. ภูมิใจเล็กๆ ที่มีชื่อเราใน Google
2. รู้สึกว่า จริงอย่างที่อาจารย์ ติ๊ก ว่า เมื่อลง Blog แล้ว ทุกคนทั่วโลกสามารถเห็นสิ่งที่เราเผยแพ่ออกไปได้

ต้องรับผิดชอบกับสังคมให้มากกว่านี้

แล้วจะพยายามครับ

วันสุข

ชอบวันศุกร์
ชอบอยู่หอสมุด
รุ้สึกสงบดี เวลาอ่านหนังสือ

วันนี้ได้มีการถกเถียงกับพี่แชมป์ โดยหัวข้อใหญ่ๆคือ
Push Pin กับ Pentagram เกี่ยวข้องกันอย่างไร

ผ่านไป 2 ชั่วโมงอย่างรวดเร็ว

สรุปใจความตามความคิดของพวกเราได้ว่า
ทั้ง 2 นั้น เกิดมีอิทธิพลในยุคสมัยเดียวกัน
เป็นเสมือน Beatle แห่งวงการ Graphic เหมือนกัน

โดยส่วนตัวนั้น ชอบ Beatle เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
เลยกะว่าจะหาข้อมูลของ Beatle เพิ่ม

แล้วเจอกัน 4 เต่าทอง

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

เล่นแร่แปรธาตุ!

ไดฤกษ์ซักทีหลังจากหาซื้อมาอย่างยากลำบาก
( ความจริงก็ไม่ลำบากเท่าไหร่หรอกเพราะฝากคุณณัฐ แสนชื่นซื้อ )

เอาเป็นว่าหลังจากอ่านบทแรกแล้ว บอกได้คำเดียวว่า
งง

บท 2 ล่ะ?
งงเช่นกัน

แต่หลังจากบท3 ก็เริ่มรู้เรื่องแล้ว และก็เริ่มสนุกกับมัน
อาจเป็นเพราะเริ่มปรับตัวได้
มนุษย์นี่ปรับตัวเก่งเหมือนกัน

หลังจากนั้นก็เริ่มอ่านอย่างเมามัน
รู้สึกว่านักเขียนนั้นมีการเหน็บแนมที่เจ็บแสบเหมือนกัน
โดยเฉพาะเรื่องการเมือง ที่แอบกัดเล็กน้อย พองาม

ไว้แล้วจะอ่านเพิ่ม
เมื่อมีเวลา

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

Editorial เอ่อ...เติร์กครับ


เอ่อ...ปกติเป็นคนที่คิดมาก และมักคิดก่อนที่จะพูด

ก็เลยมักจะพูดว่าเอ่อ...ก่อนจะพูดอะไร


จบข่าว

Present Push Pin

เมื่อวานมี Present งาน
ขอบอกว่าก่อนออก ตื่นเต้นมาก เหมือนทุกครั้งที่ต้องออกมาหน้าชั้น

แต่แปลกตรงที่พอได้ออกมาพูดแล้ว ความตื่นเต้นนั้นหายไปอย่างปลิดทิ้ง

รู้สึกว่าสามารถพูดได้อย่าง Relax มากๆ
อาจจะเป็นเพราะประสบการณ์
หรือเพราะเราได้ซักซ้อมพูดให้คุณ บิว ฟังก่อน
จะอะไรก็แล้วแต่ แต่รู้สึกสนุกกับการ Present ครั้งนี้มาก

กลับบ้านไปฉลองวันเกิดพ่อ กับครอบครัว
3 คน กับ 1 ตัว

ไม่มีอะไรตื่นเต้นแค่ได้อยู่กันพร้อมหน้าก็พอ

วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

Pentagram

Pentagram คือ บริษัทดีไซน์ครบวงจรที่เริ่มด้วยหุ้นส่วน5คนที่มาจากดีไซน์หลายสาขา

ก่อตั้งขึ้นในปี 1972 ,Colin Forbes ,Kenneth Grange และ Mervyn Kurlansky

บริษัทนี้ผลิตผลงานอันลือลั่นนับไม่ถ้วน และมีส่วนอย่างมากในการยกฐานะดีไซน์จากความเป็น "พาณิชยศิลป์"

ไปสู่ความเป็น"ศิลปะ"มีคนกล่าวว่าบริษัทนี้เปรียบเสมือน The Beatles ของวงการดีไซน์โลก

เป็นตำนานและมีอิทธิพลต่อดีไซน์รุ่นต่อมา


Pentagram มีบทบาทถึงขั้นเป็นผู้เปลี่ยนโฉมหน้าของวงการกราฟิกของอังกฤษนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 60 เป็นต้นมา

จุดเด่นของPentagramก็คือ ยังรักษาความเป็นอิสระ ไม่ผูกติดกับระบบอันเทอทะของเอเยนซี่ และดีไซน์คอนซัลแตนต์

ที่เกิดขึ้ตามมาเเป็นจำนวนมาก เป็นบริษัทที่มีการเจริญเติบโต ประสบความสำเร็จแห่งปี

โดยฉพาะการร่วมมือกันระหว่างGraphic-designer ,สถาปนิถ และนักออกแบบผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าในประเทศ

หรือต่างประเทศก็มีความเชื่อถือกับประสบการณ์ของPentagram

Pentagram มีสำนักงานอยู่ใน London ในปี 1972 ,New York ในปี 1978 ,San Francisco ในปี 1986

,Austin ในปี 1994 และBerlin ในปี 2002


Pentagram ได้ออกแบบ Paekaglng และProducts ให้กับหลากหลายบริษัทที่มีชื่อเสียง เช่นTesco ,Boots ,3com

Swatch ,Tiffany & Co ,Dell ,Netgear ,Nike และTimex และยังมีการพัฒนา identities ให้กับ Citibank

และสายการบิน United Airlines


Alan Fletcher เป็นคนตั้งชื่อ Pentagram ซึ่งเขาได้ชื่อนี้มาจากหนังสือเกี่ยวกับแม่มด ซึ่งเขาบอกว่า "คนอื่นไม่ค่อยชอบชื่อน้เท่าไร

แต่เราก็ยอมใช้มันไปก่อน" ก่อนที่ Alan Fletcher จะมาร่วมกันก่อตั้ง Pentagram ขึ้นนั้นก็เริ่มจากการรวมตัวกันของ Alan/Forbes/

Gill ตอนสมัยยังเป็นร่วมชั้นกันอยู่ในปี 1962 และต่อมา ในปี 1965 Bob Gill ก็ออกจากกลุ่มไปแล้วได้ Theo Crosby มาร่วมงาน

จากนั้นก็ก่อตั้ง Crosby /Fletcher /Forbs ขึ้น


พอถึงปี 1970 ก็ได้ นักออกแบบผลิตภัณฑ์ Kenneth Grange มาร่วมงานและเป็นหุ้นส่วน

พอถึงปี 1972 ก็ได้ Mervyn kurlansky เข้าร่วมและมีการเพิ่มจำนวนหุ้นส่วนมาเรื่อยๆ


ถ้าพูดถึง Pentagram ก็คงนึกถึง Alan Fletcher ซึ่ง Alan Fletcher หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Pentagram

และเป็นกราฟิกดีไซเนอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ผลงานจำนวนมากของเขานอกจากจะสวยงามและคมคายในเชิงความคิดแล้ว

ยังสะท้อนบุคลิกภาพที่ร่าเริงและทัศนคติที่ดีต่อชีวิตด้วย เพราะสำหรับ Alan Fletcher ดีไซน์ไม่ได้เป็นเพียงอาชีพ

หรืองานฝีมือ แต่เป็นทั้งชีวิต


แม้ว่า Alan Fletcher จะไม่ได้มีสไตล์ที่เป็นส่วนตัวมากเท่ากับดีไซเนอร์บางคนในยุคเดียวกัน ( เช่น Milton Glaser )
แต่งานทุกชิ้นต่างก็แสดงถึงตัวตน,วิธีคิดและอารมณ์

ครั้งที่ 2 ของวันนี้

ครับ...
ครั้งที่ 2 แล้วครับ

หลังจากเรียน Survey มา ก็มานั่งอัฟบล็อกในห้องคอมอันหนาวเหน็บ
เนื่องมาจาก ที่บ้าน ไม่มีเนต ยังใช้เนตแบบเติมเงินอยู่ แถมเงินหมดอีกต่างหาก

เข้าเรื่องเลยดีกว่า
จะมาอัฟเรื่อง Pentagram

เนื่องจากว่าได้รับมอบหมายจากอาจารย์ให้ทำเรื่อง Push Pin Studios และ Pentagram

แรกเริ่มคิดว่า มันมีอะไรที่เกียวข้องกันหว่า ?

หาในหนังสือ Push Pin ก็เจอเพียงว่า ใช้ Pentagram Paper ซึ่งเป็นกระดาษ ของ Pentagram
แค่นี้มันไม่น่าจะเชื่อมโยงกันได้

แต่หลังจากได้คุยกับ Ant ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มทั้ง3คน อันประกอบด้วย Bill, Ant ( เด็กสมัยนี้มีแต่ชื่อภาษาฝรั่ง ) และ ตัวข้าพเจ้า

ก็พบว่า มีหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกันมากกว่าที่คิด
เช่น

  • Paula Scher ซึ่งอยู่ใน Pentagramนั้น เป็นภรรยาของ Seymour Chwast หัวเรือใหญ่ของ Push Pin Studios
  • ทั้ง Pentagram และ Push Pin Studios ได้รับการขนานนามว่าเป็น Beatle แห่งวงการ กราฟฟิกของโลก
  • บางงานของ Push Pin Studios ถูกยกมาพูดถึงและเกี่ยวข้องกันกับงานของ Pentagram บ้างเป็นระยะๆ
  • และ ทั้ง Pentagram และ Push Pin Studios เป็นการรวมกลุ่มของ Designer ที่มากความสามารถทั้งคู่

วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

Push Pin"ปกไก่ ใส่ทักซิโด้"



เจอแล้ว!


หนังสือ Push Pin Graphic "หน้าปกเป็นรูปไก่ใส่ทักซิโด้"ที่หอสมุด หลังจากที่หามานาน


พบว่า สาเหตุที่หาไม่เจอก็เพราะเค้าไม่ยอมเอาไปใส่ที่ชั้น ต้องไปควานหาตรงโต๊ะที่กองๆไว้อยู่


โอ้.. ระบบการศึกษาไทย

เอาเป็นว่าหลังจากที่ได้อ่านแล้วนั้นก็จับใจความสำคัญๆได้ว่า
Push Pin ก็ตั้งโดย Seymour Chwast, Edward Sorel และ Reynold Ruffins


โดยแรกเริ่มนั้นเป็น Push Pin Almanack

ภายหลังนั้น Milton Glaser ( ผู้โด่งดัง เจ้าของผลงาน I love NY และ โปสเตอร์ Bob Dylan )

ได้เข้าร่วมด้วย ( โดยทั้ง 4 คนนั้นจบจาก Cooper Union ด้วยกัน แต่ Milton Glaser นั้นไปศึกษาต่อที่อิตาลี )
และได้ก่อตั้งเป็น Push pin Studios ขึ้น


Push Pin นั้นเป็นการที่เปรียบเสมือนการผสมผสานของเคมีที่ลงตัวระหว่างเอกลักษณ์ของ 2 หัวเรือใหญ่คือ


Seymour Chwast ซึ่งเป็นงาน Graphic แนว American Comic Strips


กับ Milton Glaser ซึ่งหลงใหลในงานเพ้นท์แบบ Italian Renaissance


จึงมีคำกล่าวที่ว่า Push Pin นั้นเปรียบเสมือน Beatle แห่งวงการ Illustration และ Design


และมีอิทธิพลในวงการออกแบบยุค 50's ,60's และ 70's อย่างมาก


Push Pin นั้นมีกลิ่นอายของ Art Nouveau ,Art Deco และสไตล์ Victorian


แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีความทระนงตนในการสร้างงานที่มีความสดใหม่และเป็นตัวของตัวเอง






วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

เปิดซิง

อืมมมม สารภาพว่านี่เป็นครั้งแรกที่มีบล็อกเป็นของตัวเอง
หลังจากจดๆจ้องๆมานาน ก็คิดว่าไม่ได้การแล้ว ต้องทำอะไรให้เป็นเรื่องเป็นราวซะที

อืมมมม ว่าแต่มันใช้ยังไงหว่า?

อืมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม

เอาเป็นว่าวันนี้มาที่ มอ หวังว่าจะมาทำงาน หาข้อมูลต่างๆให้มากที่สุด
วันก่อนหาเรื่อง Push Pin Studios ก็พบว่าในหอสมุดมีเพียง 2 เล่ม

เล่มหนึ่งน่าจะดีมากเพราะชื่อหนังสือมันตรงตัวเลย
แต่หาไม่เจอ!

อืมมมมมมมม

แต่อีกเล่มหนึ่งก็พอใช้ได้ มีประหวัดของผู้ก่อตั้ง Push Pin ทั้ง 3 คือ

Seymour Chawast

Edward Sorel

และ Milton Glaser

ส่วน Reynold Ruffins มีรายชื่อเกี่ยวข้องเป็นผู้ก่อตั้งด้วย แต่ก็ไม่มีพูดถึงเลย
ซะงั้น

ก็เอาเป็นว่าคงต้องหาข้อมูลต่อไป

ไปล่ะ